ขายศพ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “คนป่วยใกล้ตายถ้าได้ฟังการสาธยายบทผัคคุณสูตร จะบรรลุธรรมใช่หรือไม่”
โยมได้ดูคลิปวิดีโอแสดงคนป่วยที่ตายหลังฟังบทสาธยายผัคคุณสูตร ปรากฏกายไม่แข็ง จับดูเหมือนคนนอนหลับธรรมดาผิวสีเหลืองนวลสวยแม้สิ้นลมไปนานสี่วันแล้ว แล้วบอกว่า ผู้ตายบรรลุขั้นอนาคามีทั้งๆ ที่เป็นฝรั่งฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ใคร่ขอให้อาจารย์อธิบายความเป็นไปได้
ตอบ : เห็นไหม “ใคร่ขอให้ท่านอาจารย์...” คือพระสงบ
อธิบายเรื่องนี้นะ อธิบายเรื่องนี้ มันพูดถึงก่อน พูดถึงเรื่องศาสนานะ เราจะพูดถึงเรื่องศาสนา ปูพื้นเรื่องศาสนา เรื่องศาสนาเกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ เวลาตรัสรู้ธรรม ธรรมที่เลอค่าๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ
แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เล็งญาณไปก่อนเลย เล็งญาณไปอาฬารดาบส อุทกดาบส นี่เป็นอาจารย์เก่าของตน อาจารย์เก่าของตนคือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส อุทกดาบส ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘
สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ที่เขาได้ฌานสมาบัติกันอยู่นี่ แล้วเขาบอกว่า “มีความรู้เท่าเรา มีความรู้เสมอเรา ให้สั่งสอนลูกศิษย์ได้”
เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอาด้วย เจ้าชายสิทธัตถะบอกว่า สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เขาได้จริงตามที่อาจารย์เขาการันตีนะ แต่เขายังสงสัยในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายอยู่ เขายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ เขาถึงไม่สนใจ เขาถึงได้มาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์
พอถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วจะสอนใครได้ก่อนๆ จะสอนต้องสอนคนที่มีพื้น คนที่มีความสามารถไง ก็ระลึกถึงอาจารย์ของตนสองคนนี้ อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันเป็นพื้นฐาน ถ้าสอนวิปัสสนาได้เขาจะมีปัญญาให้เห็นธรรมได้ แต่อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ตายไปเสียแล้ว เสียดายมาก ตายไปเสียแล้ว แล้วจะเอาใคร ก็ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์
เวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เป็นพราหมณ์นะ พราหมณ์ตั้งสามสี่ร้อย แล้วที่ว่าจะตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช แล้วทำไปทำมาเหลือแค่ ๕ เวลาแค่ ๕ อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี อุปัฏฐากอยู่ก็ปฏิบัติเวลาที่มาอยู่วัด เรามาทำงานเราก็ภาวนาเราไปด้วย นี่ภาวนาไป ๖ ปี
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เวลาแสดงธรรมขึ้นมามีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมองค์เดียว อีก ๔ ทำไมไม่เห็นล่ะ
นี่พูดถึงว่าตามข้อเท็จจริงของพระพุทธศาสนา
ทีนี้ว่า พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเพราะพระอัญญาโกณฑัญญะจิตมันสงบ เพราะ ๖ ปีอยู่แล้วใช่ไหม พอพระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ มันใช้ปัญญาใคร่ครวญ มันแยกแยะ มันต้องเกิดปัญญา เวลาปัญญาแยกแยะขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะใช้ปัญญาแทงทะลุกิเลสของตนถึงได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” แต่พระอัสสชิ พระมหานามยังไม่รู้ ยังไม่รู้
นี่เราจะบอกว่า การบรรลุธรรมๆ การบรรลุธรรมมันต้องมีสติมีปัญญาของตนแทงทะลุกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มันถึงจะเป็นการบรรลุธรรมๆ แต่ถ้ามันไม่มีมันบรรลุธรรมได้อย่างไร นี่ไม่มีนะ
แต่เวลาที่ว่าในพระพุทธศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะแทนคุณแม่ เวลาจะไปสั่งสอนแม่ ทำยมกปาฏิหาริย์
เพราะว่าลัทธิต่างๆ อวดฤทธิ์อวดเดชกันทั้งนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ให้ใครแสดงฤทธิ์ สุดท้ายพอพระพุทธเจ้าบัญญัติว่า ถ้าใครแสดงฤทธิ์เป็นปาราชิก
เท่านั้นน่ะ โอ้โฮ! พวกเดียรถีย์มันท้าทายใหญ่เลย ท้าทายใคร ก็พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วว่าห้าม ทีนี้พอท้าทายไป พระพุทธเจ้ารับเสียเอง พวกลูกศิษย์ลูกหาก็มาถามว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเองว่าห้ามแสดงฤทธิ์ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปแสดงฤทธิ์กับเดียรถีย์ได้อย่างไร”
“อ้าว! เราเป็นเจ้าของสวน เราไม่ให้คนเก็บผลไม้เรา เราเก็บเองได้หรือไม่”
“ได้”
“แล้วเราจะแสดงฤทธิ์ที่โคนต้นมะม่วง”
ไอ้พวกเดียรถีย์มันสั่งลูกศิษย์มันตัดโค่นต้นมะม่วงหมดเลยบริเวณนั้นน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตตอนเช้าขึ้นมา เขาถวายมะม่วงผลหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันมะม่วงนั้นแล้วเอาผลมะม่วงนั้นปักลงดิน มันงอกขึ้นมาโดยทิพย์ พรวด! ขึ้นมาต้นเบ้อเริ่มเทิ่มเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ที่นั่น พวกเดียรถีย์หน้าม้านมุดดินกันไปหมดเลย
เพราะการแสดงฤทธิ์ที่มหัศจรรย์ บันลือสีหนาทใหญ่โตมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แล้วคิดถึงพุทธมารดา ก็ขึ้นไปชั้นดาวดึงส์ไปโปรดแม่ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ไปเทศน์ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะมันเป็นเรื่องผลของการปฏิบัติไง ทำดีทำชั่วมา มีฌาน มีญาณต่างๆ ในอภิธรรม แม่สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
นี่พูดถึงแสดงธรรมแล้ว แล้วมีดวงตาเห็นธรรมนี่มี แต่แสดงธรรมแล้วผู้ที่ได้ยินได้ฟังมันต้องใคร่ครวญใช้สติใช้ปัญญาใคร่ครวญตามนั้นจนมันมีดวงตาเห็นธรรม นี่พูดถึงว่าในพระพุทธศาสนานี่มี ไอ้เรื่องสัจจะความจริงนี่มี
ฉะนั้น สิ่งที่มี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยๆ ให้ลูกศิษย์มาสวดสัมโพชฌงค์ให้ฟัง
การสวดสัมโพชฌงค์ เวลาคนเจ็บคนป่วยนี่นะ เขาสวดสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์มันคืออะไร การวิจัยในธรรม การวิเคราะห์วิจัยเรื่องธรรมะไง นี่พูดถึงการสวด แล้วผู้ป่วยหายจากป่วยๆ ในพระพุทธศาสนามีเรื่องที่มหัศจรรย์เยอะมาก
มันมีในนครนครหนึ่งที่ว่ามีโรคระบาดเต็มไปหมดเลย รักษากันไม่หาย สุดท้ายมีคนที่ฉลาดไปนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามา เวลาเทศนาว่าการ ขอให้ฝนตก ขอให้ฝนทิพย์ตกมานี่ มันชำระล้างนะ ซากศพไหลไปหมดเลย โรคภัยไข้เจ็บนี่หายหมดเลย
จะพูดเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ในพระไตรปิฎกนี่เยอะแยะ แล้วเป็นตามข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง แล้วเวลาโลกมนุษย์ เวลาแสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เวลาแสดงธรรมต่อเนื่องไปจนพระปัญจวัคคีย์บรรลุธรรมทั้งหมดแล้ว บรรลุธรรมคือว่ามีดวงตาเห็นธรรมทั้งหมดแล้ว แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ ไปเทศน์อาทิตตปริยายสูตร ชฎิล 3 พี่น้อง ทรมานชฎิล 3 พี่น้องได้มาอีกพันกว่า นี่พระอรหันต์ทั้งหมดเลยนะ
ถ้าในพระพุทธศาสนา ถ้าในสัจจะความจริง คือที่เราสวดมนต์กันอยู่นี่ อาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักฯ เป็นการแสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โปรดลูกศิษย์ลูกหา โปรดประชาชน ประชาชนใช้สติใช้ปัญญาแทงตลอด ได้บรรลุธรรมได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่เวลาเป็นความจริงมันเป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงความจริง ความจริงเป็นอย่างนี้นะ พอความจริงเป็นอย่างนี้
แต่เวลาคำถามนี้เขาดูคลิปคนเจ็บไข้ได้ป่วย
มีมากนะ พวกพยาบาลมาปรึกษาเรา มาขอร้องบอกว่า เวลาคนเจ็บคนป่วยน่าสงสารมาก จะทำอย่างไรให้คนเจ็บคนป่วยเสียชีวิตไปพร้อมกับสติความสมบูรณ์ของเขา
เวลาพวกพยาบาล วิชาชีพของเขา เขาอยู่กับคนเจ็บคนป่วย เวลาคนเจ็บคนป่วยนะ
๑. ญาติพี่น้องต้องเป็นภาระทั้งหมด
๒. เงินทองของตนที่สะสมมาทั้งหมดต้องมารักษาตัวเอง
๓. ในครอบครัวของตนมีความเดือดร้อนไปทั้งนั้นน่ะ
พวกวิชาชีพนะ พยาบาลวิชาชีพเห็นสภาวะแบบนี้อยากจะช่วยเหลือเขาทั้งนั้นน่ะ มาปรึกษาๆ นะ
แล้วก็มีบางคนนะเขาทำ เขาทำคือว่าเขาไปนิมนต์พระ พระหนุ่มเณรน้อยที่ไฟแรงๆ เขาก็จะไปหาคนเจ็บคนป่วย ไปพูดธรรมะให้เขาฟัง เวลาเขามีสติดีขึ้น เขาชื่นชมพระพุทธศาสนาทั้งนั้นน่ะ เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วหายจากป่วยนะ จากคนที่ไม่มีศาสนาในใจเขาก็มีขึ้นมา เห็นไหม นี่พูดถึงว่าถ้าคนเขาทำความเป็นจริง นี่พูดถึงมนุษย์เขาเป็นกันแบบนี้ นี่พูดถึงข้อเท็จจริง
พระที่ดีๆ นะ เวลาคนเจ็บคนป่วยคนทุกข์คนยาก เขาจะสงเคราะห์ เขาสงเคราะห์ เขาอนุเคราะห์ ความสงเคราะห์ความอนุเคราะห์ของแต่ละครั้งแต่ละคราวมันก็เป็นที่บุคคล บุคคลคนหนึ่งเขาสงเคราะห์ได้ บางบุคคลสงเคราะห์ไม่ได้
คนที่สงเคราะห์ได้คือจิตใจเขาเปิดกว้าง จิตใจเขามีเหตุมีผล นี่สงเคราะห์ได้ คนที่สงเคราะห์ไม่ได้เขาจะตีโพยตีพายเลยว่า ทำไมเขาต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมเขาต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาต้องทุกข์ยากอย่างนี้ คนอื่นไม่เห็นทุกข์ยากเหมือนเราเลย คนข้างเคียงคนที่ไม่ดีๆ ก็ไม่ดีไปหมดเลย ไอ้เราคนดี...นี่เวลาสงเคราะห์ไม่ได้ เวลากรรมบังตามันสงเคราะห์ไม่ได้
คนที่คิดดีในเรื่องวิชาชีพของพยาบาล มีคนคิดเรื่องอย่างนี้เยอะมาก แล้วเขาก็สงเคราะห์อนุเคราะห์ทำเพื่อประโยชน์กับเขา อันนี้มันเป็นเรื่องศาสนา เป็นเรื่องของประชาชน เป็นของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่นี่เข้าเรื่องศาสนาแล้ว ถ้าศาสนา ถ้าคนที่เป็นความจริง อย่างเช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านตามความเป็นจริงนะ เวลาท่านธุดงค์ไปต่างๆ เวลาท่านเข้าสู่คุณธรรมในใจของท่าน เขาทำสมาธิ ว่าอย่างนั้นน่ะ ไปเห็นนู่นเห็นนี่ขึ้นมาท่านจะเก็บไว้ในใจ อะไรที่ควรสงเคราะห์ที่พูดได้ท่านก็จะพูด
เพราะกาลเวลาของโลกกับกาลเวลาของวัฏฏะมันแตกต่างกัน บางคนตายจากโลกนี้ไปแล้ว เวลาตายไปนานแล้วเป็นร้อยปีพันปี เวลาเขายังระลึกถึงภพชาติเก่าเขาอยู่ เขาอยากให้ญาติของเขาสงเคราะห์เขา
เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปรู้ไปเห็นเข้า ท่านกลับมาแล้วท่านจะไปถามชุมชนนั้นหมู่บ้านนั้นว่าเคยมีตระกูลนี้หรือไม่ บางครั้งก็ว่ามี บางครั้งก็ว่ามันเคยมีแต่นานเนกาเลมาแล้ว นี่กาลเวลา
ถ้าคนที่เป็นจริงนะ คนที่เขาเป็นจริงเขาไม่ตื่นเต้น ไม่หวั่นไหว เป็นเรื่องผลของวัฏฏะ ไม่หวั่นไหวไปกับสังคมโลกเพราะเขารู้จริง เขารู้จริงเขาเห็นจริงตามความเป็นจริง แล้วสงเคราะห์ได้หรือสงเคราะห์ไม่ได้ นั่นเป็นผลของวัฏฏะ นี่ผลของวัฏฏะนะ ไม่ใช่ผลของธรรม
ถ้าผลของธรรมๆ การกระทำเวลาที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมมันต้องมีสติมีปัญญา มีความเห็นดีงาม เห็นสมควรแล้วทำได้ ฉะนั้น นี่ถ้ามันเป็นจริง นี่พูดถึงในพระพุทธศาสนา
แต่เข้าคำถาม “คนป่วยใกล้ตายหลังฟังธรรมสาธยายผัคคุณสูตร แล้วเวลาตายไปแล้วผิวเขาจะเป็นผิวสีเหลืองนวล สิ้นลมไปสี่ห้าวันแล้วมันก็ยังไม่แข็ง แล้วเวลาผู้ตายไปแล้วได้บรรลุขั้นอนาคามีทั้งๆ ที่เป็นฝรั่งนะ ได้บรรลุถึงขั้นอนาคามีแน่ะ”
แต่เราได้ยินมาส่วนใหญ่ว่าจะเป็นโสดาบันๆ เวลาโสดาบัน คนเจ็บคนป่วย ตามความเชื่อของเขา อันนี้เราได้ข้อมูลมาจากที่เขาโต้แย้งกัน
เวลาคนใกล้ตายของเขา เขาจะไปสวดบทนี้ พอสวดบทนี้แล้วคนตายแล้วจะได้บรรลุโสดาบัน เวลาบรรลุโสดาบัน เวลาตายไปแล้วผิวจะเป็นผิวสีชมพู ร่างกายนี้จะนิ่มนวล จะไม่แข็ง
โอ๋ย! ถ้าอย่างนี้นะ ไอ้ปลาทับทิม วันหลังอย่าไปกินปลาทับทิมนะ เพราะปลาทับทิมมันก็สีชมพู เวลาเขาแช่ไว้ เวลามาทำนี่แสนอร่อย ปลาทับทิมก็สีชมพู
เราจะบอกว่า ซากศพบรรลุธรรมไม่ได้ สิ่งที่บรรลุธรรมคือหัวใจของสัตว์โลก เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้านี่บรรลุธรรมๆ กายเขาเป็นทิพย์นะ
แล้วนี่บอกว่า เวลาฟังธรรมแล้วนะ เวลาบรรลุธรรมแล้ว เวลาตายไปแล้วร่างกายจะเป็นสีชมพูแล้วจะนิ่มนวล
ไอ้นี่มันเป็นความผิดปกติ ในสังคมไทยเรานะ เวลาคนตายแล้ว เวลาเขาจะเอาศพใส่ในโลง เขาจะบุไว้ด้วยใบชา บางที่บางท้องถิ่นเขาจะบุไว้ด้วยถ่าน ถ่านหุงข้าวเอาไว้ซับน้ำเหลือง เวลาเขาไว้ซับน้ำเหลืองซับต่างๆ ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นความเชื่อในท้องถิ่น แล้วเวลาศพ เขาจะเผาศพต่างๆ เขาจะมีบังสุกุล เขาจะมีชักผ้าต่างๆ
ไอ้นี่มันกรณีนี้มันเป็นกรณีพระพุทธศาสนาทั้งนั้นน่ะ ในพระพุทธศาสนามันมีเหตุ มันมีเหตุให้เกิดขึ้นว่า พระไปรักนางโสเภณีกลางเมือง แล้วเขาเป็นโสดาบันด้วยนะ แล้วเวลาเขาตายไปนี่รักเขามากๆ จนกินข้าวไม่ได้จนเป็นทุกข์เป็นยาก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเขาว่าอย่าเพิ่งเผานะ ปล่อยให้มัน ๗ วันไปก่อน พอ ๗ วันไปแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจะไปเผาเอง แล้วเอาพระองค์นี้ไปด้วยไง แล้วบอกให้พระองค์นี้ไปเอาซากศพนั้นน่ะ
เวลาไปเห็นตอนกามราคะ เห็นตอนที่มันผูกพัน เห็นแล้วมันสวยมันยิ่งใหญ่ มันเห็นแล้วจะกินข้าวไม่ได้ จนเห็นแล้วจะช็อกเลยล่ะ แต่เวลาช็อกไปแล้วมันก็ตรอมใจอยู่ ๗ วัน ๘ วัน ทุกข์มาก กินข้าวไม่ได้จะเป็นจะตาย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อย่าเพิ่งทำ ให้มันเต็มที่ก่อน เวลาถึงเวลาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนนิมนต์ไปเอง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนสั่งเอง บอก “นั่นไงของเธอ ให้ไปเอานั่นน่ะ ซากศพนั้นน่ะ”
มันไปเห็นแล้วมันคนละคราว มันเห็นแตกต่างกันเลย เห็นว่าสวยมาก ติดพันมาก รักเขามาก ทุกข์ใจมาก ถ้าไม่ได้เขา ชีวิตอยู่ไม่ได้ จะต้องเป็นต้องตายไปเลย พอไปเห็นอีกที หนอนมันกำลังไชยั้วเยี้ยๆ มันไฟต์กันเต็มที่ในปัญญา บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย
ถ้ามันจะได้ธรรมๆ มันต้องได้ในหัวใจนี้ เวลาไปชักผ้าบังสุกุล ไอ้กุสลา ธมฺมาอย่างนี้มันเป็นคติธรรมในพระพุทธศาสนา แต่คำสอนของพวกนี้เขาจะบอกเลยว่า“สาวกภาษิตอย่าไปฟัง ต้องฟังพุทธภาษิต เป็นพุทธวจนะ”
โอ๋ย! เป็นความดีงามไปหมดนะ เวลาพูดนี่อ้างพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย แล้วชี้ไปหมดเลยนะว่า สังคมไทย พระปฏิบัติเป็นสาวกภาษิต เป็นผู้ที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เป็นผู้ที่เสียหาย
แต่เวลาตัวเองสอน “ถ้าได้ฟังผัคคุณสูตร”
มี มีพวกญาติโยมที่เขาตายไป แล้วเป็นลูกศิษย์พวกนี้ เวลาไปแล้วเขาจะไปสวดบทนี้ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เขาไม่เอา เขาจะไปสวดบทนี้
เราจะบอกว่า ถ้าทำไปมากๆ ประเพณีมันจะบิดเบี้ยวไปเลย เพราะด้วยทิฏฐิของคนคนเดียว ด้วยทิฏฐิ ด้วยมุมมอง ด้วยทัศนคติของคนคนเดียว แล้วพยายามสร้างภาพขึ้นมาให้คนเชื่อถือศรัทธา
เวลามีคนเชื่อถือศรัทธา เพราะคำที่จะเชื่อถือศรัทธา เพราะคำว่า พุทธวจนะ พุทธพจน์ พระพุทธเจ้า ไอ้ที่ทำๆ กันอยู่นี่สาวก ไอ้พระทั่วๆ ไปนี่ไอ้พวกสาวก ไอ้พวกปลายแถว ไอ้ของเขาหัวแถว เป็นพุทธะน่ะ
แต่พฤติกรรมที่ทำ...น่าเศร้า
นี่ไง เวลามีพระองค์ใดองค์หนึ่งไฟแรงแล้วมีมุมมองมีทัศนคติขึ้นมา มันถือทิฏฐิของตนแล้วพยายามจะเผยแพร่ความเห็นของตน แล้วถ้ามีใครเชื่อมีใครหลงตามไปนั้นมันจะเป็นเหยื่อ เห็นไหม เดี๋ยวๆ ก็มีองค์ขึ้นมาโผล่ขึ้นมาแล้วก็มีปัญหา มีปัญหามาตลอด
แต่ในครอบครัวกรรมฐาน ไม่ใช่ยกย่องพวกเดียวกันเองนะ แต่ครอบครัวกรรมฐานมาตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นน่ะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านวางไว้เอง หลวงตาเล่าประจำ เวลาหลวงตาท่านอุปัฏฐากอยู่น่ะ เวลาอุปัฏฐากไปทำข้อวัตร
“มหา มหาพรรษามากแล้วไม่ต้องขึ้นมา ให้พระเล็กเณรน้อยมันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป”
มีข้อวัตรติดหัวใจ คือได้เห็นพฤติกรรมความเป็นอยู่ของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านอยู่ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย ท่านไม่หลอกลวงใคร นี่ถ้ามีสติมีปัญญา พฤติกรรมอย่างนั้นทำอย่างนั้น
แล้วถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วมันมีความสุขความสงบขึ้นมา รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของสมาธิธรรมมันเลิศกว่ารสของเสียงเยินยอของประชาชน มันเลิศกว่ารสที่ได้เสพ เสพวัตถุจากที่ประชาชนให้ มันเลิศกว่าคนที่ประชาชนจะมาถือหาง มันเลิศกว่าทุกๆ อย่างเลยถ้าจิตมันลงสงบได้
นี่ในครอบครัวกรรมฐานมันมีครูบาอาจารย์เป็นแนวทาง มีครูบาอาจารย์คอยดูแลสอดส่อง เห็นไหม
แต่หลวงตาท่านก็พูดอีก เพราะมีคนศรัทธาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมากแล้วไปหาท่าน บอกว่า “ศรัทธามาก ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ศรัทธาลูกศิษย์หลวงปู่มั่น”
ท่านพูดเอง หลวงตาท่านพูดเอง “เราเชื่อว่าในคณะของลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีทั้งดีและชั่ว”
ดีก็มี แต่คนที่ภาวนาไม่เป็นแล้วกิเลสหนามันก็เอากิเลสมันออกหน้า แล้วก็อ้างหลวงปู่มั่นๆ แบบนี้ไง แบบพุทธวจนะ อ้างพระพุทธเจ้า คนอื่นผิดหมด แต่พวกฉันถูก ของฉันถูก
...แล้วถูกอย่างไร
ประเพณีของชาวไทยนะ เวลาคนตายแล้วเขาก็สวด กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เขาสวดอภิธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปสวดโปรดพระมารดาบนดาวดึงส์
แล้วของเอ็งสวดอะไร แล้วถ้าสวดนะ เขาบอกว่า ถ้าไปสวดคนป่วย คนป่วยถ้าได้ฟังแล้วจะได้บรรลุธรรม
แค่ฟังนี้ได้บรรลุธรรมหรือ ถ้าฟังแล้วบรรลุธรรมนะ อย่างนั้นเทปมันก็มี สิ่งใดก็มี แล้วเวลาที่บรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมต้องอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เขามีดวงตาเห็นธรรมเพราะเขามีสติมีปัญญา เขามีมรรค มันต้องมีมรรคมีผลมันถึงจะเป็นความจริง
ไปฟังอย่างนั้นไปฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่ไง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จนมีคนคิดกันมากนะบอกว่า ประเพณีเผาศพไม่ต้องสวด กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะคนไปวัดเขาไปนั่งคุยกัน เขาไม่ไปฟัง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมาเขาไม่ไปฟังหรอก มันเสียเวลา ยกเลิกได้ไหมไอ้การสวด กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมานี่
แต่ประเพณีของเรา เราก็อยากให้คนตายได้บุญ เพราะอะไร เพราะคนที่ไปวัดๆ ไปเพราะเหตุเพราะคนตายเขาถึงไปแสดงมรณานุสติ เขาถึงไปวัด การไปวัด ถ้าเขาได้ฟังเขาจะได้บุญขึ้นมา เขาต้องการให้คนตายได้บุญด้วย
นี่พูดถึงว่า ถ้า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา นี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเอง
แต่นี่เขาบอก พุทธวจนะนะ แล้วเขาสวดเองเลย เขาทำของเขาเองเลย แล้วถ้าสวดแล้วคนจะได้บรรลุธรรม
ไอ้อย่างกรณีนี้เราพูดถึงพยาบาลวิชาชีพเขาคิดกันเรื่องนี้มานาน แล้วเวลาสวด คนที่ฟัง คนฟังนะ เวลาสวดอยู่นี่แต่เขาคิดไปเรื่องอื่น เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่จิตตคหบดีเวลาเขาใกล้ตาย เวลานิมนต์พระไปสวด เวลาเขาต้องตายเขาจะไปสวรรค์ เพราะว่าเขาทำบุญไว้สมบูรณ์มาก รถสวรรค์มารับเลย บอกให้รถสวรรค์รอก่อน แต่เขาจะฟังพระสวดก่อน นี่จิตใจเขามีสติปัญญาขนาดนั้น
แต่คนเจ็บคนป่วยทุกคนมันเจ็บป่วยมันจะคิดถึงการตาย มันคร่ำครวญ จิตใจมันบีบคั้น การเปิดใจฟังนี่แสนยาก
ฉะนั้น สิ่งที่จะทำแบบนี้มันต้องทำตั้งแต่เริ่มต้น อย่างพวกเราปูพื้นขึ้นมาแล้วมีสติปัญญาขึ้นมา แล้วสติปัญญาขึ้นมา ยิ่งใกล้ตายขึ้นมานี่ธรรมะแสดง ธรรมะจัดสรรมันยิ่งใกล้ชิดเข้ามา อันนั้นมันถึงจะเป็นจริงขึ้นมา
แต่นี่บอกว่า กรณีนี้มันเป็นกรณีขายซากศพ ขายคนตาย แล้วบอกว่า เวลาตายไปแล้วศพมันจะเป็นสีชมพู
สีชมพูมันก็ปลาทับทิมไง สีชมพู แล้วกรณีอย่างนี้กรณีที่ว่าเวลาเขาถือมงคลตื่นข่าว เชื่อเข้าทรง ทรงเจ้า เชื่อเรื่องกล้วยออกกลางต้น ปีกล้วยออกยาว แล้วก็เชื่อเรื่องสัตว์ สัตว์ห้าขาสิบขา นั่นมันคืออะไรล่ะ
นี่เหมือนกัน เราจะบอกว่า เพราะหัวใจของเขา คือว่าร่างกายเป็นสีชมพู ซากศพ ซากศพมันตายไปแล้วมันมีผลกับใคร ซากศพตาย
กรรมฐานเรานะ เขาจะช่วยกันตอนมีชีวิตนะ เราเวลาประพฤติปฏิบัติอยู่ใหม่ๆ อยู่ในป่าในเขา เพื่อนตาย ตายอยู่กับเราด้วยกันนี่สองศพ ตายเสร็จแล้วนะ ตายก็ไว้นั่น ฉันข้าวก่อน ฉันเสร็จแล้วก็บังสุกุล ให้ผู้ใหญ่บ้านออกใบมรณบัตร
พอออกใบมรณบัตรเสร็จแล้ว จีวร ประคดเอว ใครยังขาดแคลนอยู่ให้ชักบังสุกุลเอา เผาไปแต่ร่างกายนี้ ซากศพนี้ไม่มีค่า ไร้ค่ามาก ถ้ามีค่าคือหัวใจ นี่หัวใจ
แต่นี่ซากศพเป็นสีชมพู
ปลาทับทิมก็เป็นสีชมพู เป็ดย่างอย่าไปกินมันนะ มันเป็นสีชมพู ของสีชมพูมีคุณค่าหรือ สีชมพูเป็นสีแห่งความรัก สีแห่งความรัก สีชมพู
เราฟังแล้วมันเศร้าใจ เพราะอะไร เพราะพุทธวจนะพูดถึงความสูงส่งของพระพุทธเจ้า แต่พฤติกรรม เวลาพฤติกรรมไปบอกซากศพที่ไม่มีชีวิตมันมีค่าได้อย่างไร พระโสดาบันไปวัดกันที่ซากศพนั่นหรือ พระโสดาบันเขาละสังโยชน์ ๓ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นี่มันมีมรรคมีผลขึ้นมา
มันห่างไกลกับพระพุทธศาสนา ไอ้นี่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไปแล้ว เป็นเรื่องถือวัตถุธาตุว่ามีคุณภาพ ไร้สาระมาก ไม่จริงและไม่มี
“ฝรั่งคนนั้นเขาได้ฟังผัคคุณสูตรแล้ว เวลาเขาตายไป เขาเป็นฝรั่ง เขาไม่รู้ภาษาไทย เขาไม่รู้เรื่อง แล้วเขาได้พระอนาคามี”
แล้วใครเป็นคนให้พระอนาคามี ฝรั่งเขาไม่เชื่อพระพุทธศาสนาด้วย เอาพระอนาคามีไปให้เขา เขาไม่รู้จัก เหมือนไก่ได้พลอย ไก่นะ เอาพลอยไปให้มัน มันจะเอาข้าว
นี่เหมือนกัน ศาสนา เขาไม่รู้จักเรื่องพระพุทธศาสนา เอาอนาคามีให้เขา เขาเอาไหม เอาอนาคามีไปให้เขา เขายังไม่รู้เลย ฝรั่งมันไม่รู้จักอนาคามีนะ ฝรั่งมันรู้แต่พระเจ้าโปรด พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน มันไม่เข้าใจหรอกอนาคามีคืออะไร แล้วเอ็งหน้าด้านเอาอนาคามีไปให้ฝรั่งหรือ ฝรั่งไม่ต้องเถียงพวกเอ็งใช่ไหม
ฟังแล้วเศร้า เรื่องนี้ฟังแล้วเศร้ามาก แต่เราเห็นเรื่องนี้มานาน พอเห็นเรื่องนี้มานาน นี่พูดถึงความเห็นนะ มันจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา ถ้าเป็นความเชื่อเป็นความศรัทธามามันก็มีมาดั้งเดิม แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านก็พยายามประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ท่านสั่งสอนพวกเรา พวกเราเคารพบูชากันมากนะ แล้วพวกเราอยากได้ความจริง
แล้วถ้าใครหัวใจที่อ่อนด้อย หัวใจที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์เชื่อตามๆ กันมา เชื่อสิ่งที่ว่าเป็นอาจารย์ของตนพูด
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งเสียไว้เด็ดขาด ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าสอนนะถ้าจริงๆ แล้วเพราะอะไร
เพราะพระสารีบุตรไม่เชื่อใคร เห็นไหม แล้วเขาก็พูดไป จนพระไปรายงานพระพุทธเจ้าว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านิมนต์พระสารีบุตรมา“สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราหรือ”
“ครับ ไม่เชื่อหรอก”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่เชื่อล่ะ”
แต่ก่อนนั้นยิ่งกว่าเชื่อ แสวงหา เวลาแสวงหา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปเที่ยวเล่นจนเบื่อหน่ายสังคม จะออกบวช ออกบวชแล้วไปอยู่กับสัญชัย สัญชัยสอน “นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่” ก็เดี๋ยวนี้ “ไอ้นั่นก็ไม่ใช่เรา ไอ้นี่ก็ไม่ใช่เรา” นั่นน่ะ มันใช่ทั้งนั้นน่ะ “ไม่ใช่ๆ” แต่ไม่ใช่แต่ปลายลิ้น แต่ในหัวใจมันทุกข์มันยาก
สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ทางแล้วแหละ ก็ไปเจอพระอัสสชิ พระอัสสชิสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีปัจจัย มันต้องมีเหตุผลมันถึงจะเป็นจริงได้ มันไม่เลื่อนลอยหรอก
พอฟังแล้วใช้ปัญญาแทงเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม ชวนพระโมคคัลลานะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกสอนขึ้นมา เวลาสอนพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์
สอนพระสารีบุตร สอนหลานพระสารีบุตร เห็นไหม ไม่พอใจอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น ไม่พอใจ ไม่พอใจเพราะเอาพระสารีบุตรมาบวช
พระสารีบุตรฟังอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”
อารมณ์ความรู้สึก ความคิดของเรา ถ้าคนมีสติปัญญามันจับต้องมันได้ พระสารีบุตรถวายงานพัดพระพุทธเจ้าอยู่ เป็นพระอรหันต์ตูมเลย
ไอ้ที่ว่าไม่เชื่อๆ เพราะว่าท่านตรัสรู้จริง ท่านมีดวงตาเห็นธรรม ท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน ท่านถึงไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีความจริงในใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุ ใช่ ถูกต้อง
เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อแม้แต่อาจารย์สอน นี่ก็ไม่ต้องเชื่อเรา อย่าไปเชื่อไอ้หงบนะเว้ย มึงเชื่อน่ะโง่น่าดูเลย มึงฟังแล้วกลับบ้านไปแล้วไปคิดใคร่ครวญ นี่หลักเกณฑ์หลักความจริง ไม่ให้เชื่อ
ไอ้นี่บอกว่า บรรลุโสดาบัน ร่างกายจะเป็นสีชมพู แล้วไม่แข็งด้วย
โอ้! ฟังแล้วเศร้า ปลาทับทิมก็สีชมพูนะ
ฉะนั้นว่า ร่างกายถ้าตายไปแล้วเป็นสีชมพู
ขายซากศพประชาชน ขายซากศพมนุษย์ว่าบรรลุธรรม
ซากศพบรรลุธรรมไม่ได้ มันต้องบรรลุธรรมที่หัวใจ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส แล้วละอย่างไรถึงเป็นโสดาบัน เขาละกันด้วยมรรคด้วยผล ไม่ใช่ไปละกันที่เป็นซากศพ
ถ้าเป็นซากศพ เรามองไม่ต่างกับพวกถือวัตถุแปลกๆ ถือพวกผลไม้แปลกๆ แล้วไปกราบไหว้ ไปลูบไปถูต้นไม้เพื่อเอาเลข
เหมือนกัน พุทธวจนะมีค่าเท่านั้น มีค่าแค่ไปลูบต้นไม้น่ะว่ามันจะออกเลขอะไร แล้วเวลาคนไปนะ โอ้โฮ! มีศักยภาพทางสังคมนะ โอ้โฮ! เป็นปัญญาชนทั้งนั้นนะ เป็นพุทธวจนะนะ โอ้โฮ! สูงส่งกว่าศรัทธาประชาชนทั่วไปนะ สุดท้ายแล้วไปเชื่อซากศพ ไม่เชื่อธรรมะ ไม่เชื่อหัวใจของคน ไปเชื่อซากศพที่เป็นสีชมพู ไร้สาระ จบ
ถาม : เรื่อง “ขอความเมตตาจากหลวงพ่อเรื่องภาวนาครับ”
ผมใช้อานาปานสติเวลานั่งสมาธิ คือหายใจเข้าก็รู้ชัด หายใจออกก็รู้ชัดที่ลมหายใจเข้าและออก พอนั่งไปสักพักเหมือนลมที่ดั้งจมูกจะโล่งสบายขึ้น และเหมือนมีผู้รู้ลมหายใจ เปรียบเหมือนคนที่นั่งอยู่ที่สูงมองลงมาเห็นผู้รู้ลมอีกที เหมือนมีสองคน คนหนึ่งมองเห็นอีกคนหนึ่งรู้ลมหายใจเข้าออกครับ
และนั่งสักพักก็เห็นว่า ผู้ที่รู้นั้นไปรู้เรื่องอื่น โยมแบ่งความคิดเป็นนามและลมหายใจเป็นรูป ก็คือหลุดจากลมไปเกาะนามและดึงกลับมาที่รูป พอดึงกันไปกันมา โยมก็พิจารณาว่า ทั้งรูปและนามมันเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
โยมพิจารณาแบบนี้ถูกต้องไหมครับ หรือปรุงแต่งไปตามสังขารครับ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยครับถ้าโยมทำผิดวิธี และจะต้องแก้ไขอย่างไรครับ
ตอบ : ถ้าอานาปานสติก็กำหนดอานาปานสติของเขาไป ถ้ากำหนดอานาปานสตินะ แล้วเวลากำหนดอานาปานสติแล้วไปรู้ลมรู้ต่างๆ เวลามันมีปัญญาที่เกิดขึ้น เราก็อยู่กับลมของเราไปๆ ถ้าเราต้องการความสงบ
แต่เราจะใช้ปัญญาขึ้นมา ถ้ามันไปรู้สิ่งต่างๆ มันไปรู้เพราะว่ากิเลสมันพยายามชักนำให้เราออกนอกลู่นอกทาง
ถ้าเราเกาะลมก็เกาะลมของเราไป แต่พอเกาะลมแล้วไปรู้ว่าไอ้นั่นไปรู้ลม ไอ้นี่เป็นรูป ไอ้นี่เป็นนาม
ปัญญาของคนมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าปัญญาของคนเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราใช้ปัญญาไปมันเป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ วางไว้เลย วางไว้เลย
ถึงบอกว่า มันถูกต้องหรือไม่
กำหนดอานาปานสติกับกำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตมันสงบแล้ว พอจิตสงบมีกำลัง เหมือนคนมีกำลังนะ จับต้องสิ่งใดยกขึ้นสิ่งใดสบายมาก
แต่คนถ้าไม่มีกำลัง อย่างเรานอนติดเตียง เอาของอะไรมาให้ก็วางไว้ หยิบไม่ขึ้นหรอก จิตใจของคนถ้ามันไม่มีกำลัง ไม่มีสมาธินะ มันคิดอะไรไม่เป็นหรอก มันไหลไปตามเรื่อง
แต่ถ้าลมหายใจเข้าออกจนมันมีกำลังขึ้นมานะ ไอ้ที่ว่า ไอ้นั่นเป็นรูป ไอ้นี่เป็นนาม มันขาดหมด มันขาดหมด หมายความว่า มันเข้าใจหมด มันไม่มีกิเลสเอามาหลอกได้
แต่ถ้าจิตใจของเราไม่มีกำลังนะ มันเอานี่มาหลอก โอ๋ย! ไอ้นั่นเป็นรูปนะ ไอ้นี่เป็นนามนะ ไอ้นั่นเป็นมรรคนะ ไอ้นี่เป็นผลนะ โอ๋ย! มันจะมีปัญญาไปหมดน่ะ...ปัญญามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา
แล้วเวลาบอกว่า ถ้ากำหนดลมหายใจแล้วมันจะไม่มีปัญญาๆ
ก็อยากมีปัญญาไง อยากมีความคิดไง แล้วพอความคิด กิเลสมันลากไปแล้ว มันให้ความคิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยกลับไปโทษทั้งลมด้วยนะ กลับไปโทษทั้งลมหายใจ กลับไปโทษพุทโธ กลับไปโทษใครไปหมดเลย บอกว่าไร้สาระหมด ไม่มีผลหมดเลย
ก็เพราะเอ็งทำไม่เป็นไง เอ็งผิดมาตั้งแต่ต้นก็ผิดไปหมดเลยไง
แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา ถ้าเชื่อมั่นนะ วางให้หมด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือกำหนดอานาปานสติ กำหนดชัดๆ พอชัดๆ ขึ้นมาแล้ว จิตมันสงบมันก็มีความสุขแล้ว จิตมันสงบ มันว่าง มันโล่งไปหมดเลย
คนเราที่มันทุกข์มันเครียด มันทุกข์อยู่อย่างนี้ เวลามันโล่งมันโถง โอ้โฮ! มีความสุขมาก พอมีความสุขมาก แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาหรือมันคิดไป เพราะมันโล่งมันก็ปล่อยไง
เวลาคนมาถามมาก “มาอยู่กับหลวงพ่อไม่เห็นได้อะไรเลย”
บอก “พวกมึงนี่โง่ มึงได้กันทุกคนเลยแหละ”
“ได้อะไร”
ได้สติได้ปัญญา ได้ชีวิตความเป็นปกติ นี่เอ็งได้
แต่ถ้าเอ็งอยากได้อะไรนะ เอ็งจะได้สมบัติบ้า “อู๋ย! ได้มรรคได้ผล ได้มีปัญญา” นั่นน่ะบ้าทั้งนั้นน่ะ เวลาอยากได้ อยากได้สมบัติบ้า ไอ้สมบัติปกติ สมบัติของหัวใจ ความเป็นปกติ สุขภาพกาย สุขภาพจิต
สุขภาพกายที่แข็งแรง คนที่แข็งแรงคนนี้โชคดีมาก คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนนั้นเขามีเวรมีกรรมของเขา
นี่เหมือนกัน ถ้าจิตใจปกติ จิตใจสมบูรณ์นี่สุดยอด ถ้าจิตใจมันมีแต่กิเลสบีบคั้น มีแต่ความทุกข์ความยาก โอดโอยอยู่คนเดียวนั่นน่ะ อย่างนั้นเอ็งได้ใช่ไหม โอดโอยเลย “โอ๋ย! จะได้โสดาบันๆ” แล้วให้คนชี้ว่าได้โสดาบันแล้วๆ นี่โอดโอยอยู่นั่นน่ะ มันไม่ได้อะไรหรอก
แต่ถ้าเอ็งเป็นปกติ
๑. กิเลสเอ็งก็หลอกเอ็งไม่ได้
๒. ไอ้พวกที่จะมาการันตีมึงว่าโสดาบันๆ มันก็มาการันตีมึงไม่ได้ เพราะเรารู้ทันมัน
แต่พวกมึงอ่อนแอ เพราะมึงอยากได้ พอมีใครมาชี้ว่า “เฮ้ย! ได้โสดาบัน”
จริงหรือ แล้วได้โสดาบันต้องถวายเท่าไร ถ้าได้โสดาบันนี่ต้องถวายเท่าไร โอ๋ย! ถ้าถวายแล้วโสดาบันจะมั่นคงใช่ไหม ถ้าไม่ถวาย จะไม่ได้ใช่ไหม เอ็งจะได้กันอย่างนั้นใช่ไหม เอ็งจะได้โสดาบันต่อเมื่อคนมาการันตีใช่ไหม แล้วคนที่การันตีนี้ก็จะมาปอกลอกใช่ไหม จะมาขอส่วนแบ่งเอ็งจากโสดาบันของเอ็งใช่ไหม
แต่ถ้าเอ็งเป็นปกตินี่เอ็งได้ ได้ความเป็นอิสระของตน ได้หัวใจนี้ไว้ในกายของตน แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงของตน อันนี้มันจะได้
ฉะนั้น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรืออานาปานสติของเราไป ถ้ามันจะเห็นนาม เห็นรูป รูปข้างนอก รูปข้างใน
ไอ้นี่คือสติ คือสมาธิเรายังไม่ตั้งมั่น พอเราไม่ตั้งมั่นขึ้นมา เราจับต้องสิ่งใดมันไม่เป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเพราะว่ากิเลสสมุทัยมันเจือปนมา กิเลสมันสวมรอยมา
พอสวมรอยมาสู่ในนักปฏิบัติ พอนักปฏิบัติปฏิบัติโดยกิเลส ปฏิบัติโดยความเห็นของตน แล้วพอปฏิบัติไปแล้วมันไม่ได้ผลอะไรขึ้นมาก็มาตีโพยตีพายไปโทษธรรมะ ไปโทษพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ไปโทษกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ไปโทษการวิปัสสนา ไปโทษอริยสัจ ไปโทษเขาหมดเลย ตัวกูเก่ง ตัวกูดี...เอ็งก็จมปลักอยู่นั่นน่ะ
แต่ถ้าวันใดเอ็งมีสติมีปัญญา กลับมาหายใจกำหนดอานาปานสติ จิตใจผ่องแผ้ว จิตใจมีกำลังแล้ว แล้วค่อยฝึกหัดใช้ปัญญาไป นี่เราทำโดยความเป็นสุภาพชนด้วยความเป็นข้อเท็จจริง มีสัจจะมีการกระทำ
อย่าทำไปโดยตีโพยตีพาย อย่ากระทำไปโดยให้คนอื่นมาคอยการันตี อย่าไปทำโดยให้คนอื่นมารับประกัน นั้นเราเป็นทาส
เราเกิดมาเราเป็นทาสกิเลสแล้ว เราพยายามจะเป็นไทกับตัว แล้วมาประพฤติปฏิบัติยังต้องไปเป็นทาสกับสำนักปฏิบัติ ยังต้องเป็นทาสกับให้คนมาชี้แนะ ยังให้ไปเป็นทาสกับคนที่ครอบงำ
เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนขึ้นมา ท่านทำเป็นตัวอย่าง เช่น หลวงปู่เสาร์ “ทำให้มันดูมันยังไม่ทำเลย จะไปสอนอะไรมัน”
ท่านไม่สอนเลย ท่านทำตัวท่านเป็นตัวอย่าง หลวงปู่เสาร์ท่านทำตัวท่าน เอ็งจะดูไม่ดูก็เรื่องของเอ็ง เอ็งจะเข้าใจไม่เข้าใจก็เรื่องของเอ็ง แต่ท่านอยู่ของท่านโดยความสุขของท่าน หลวงปู่เสาร์ เห็นไหม นี่ความจริง ทำให้มันดูมันยังไม่เอาเลย แล้วจะไปสอนมัน สอนอะไร
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงอย่างนั้น นี่พูดถึงว่า อานาปานสติ
ถาม : เรื่อง “ใช่แนวทางที่ถูกไหม”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ คำถามคือ ผมได้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาโดยประมาณ ๔–๕ ปีแล้วครับ โดยการภาวนาพุทโธ แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งได้แนะนำทางอีกทางหนึ่งคือ ให้ลดสมาธิลง แล้วให้คิดนึกถึงอสุภะหรือทำกายคตาสติ ให้นึกถึงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตลอดเวลา ให้นึกอยู่ในร่างกายจนให้จิตเบื่อหน่าย สมาธิทำทีหลังก็ได้ เพราะทำสมาธิแล้วจะได้ผลดีกว่าทำสมาธิก่อน สมาธิที่ว่าลดลงคือใช้สมาธิแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ก็พอ (พระอาจารย์ที่ท่านมาสอนนี้ท่านมาเทศน์ที่นั่นบ่อยๆ)
ตอบ : อันนี้เขาพูดไปตามแต่อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าอำนาจวาสนาของคน เรามีที่พึ่งที่อาศัย เรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
เขาบอกว่า เขาปฏิบัติแนวทางหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมา ๕–๖ ปี แล้วเพิ่งมีพรรคพวกชวนไปบอกว่าไปทำวิธีการลดสมาธิ
ลดสมาธิแล้วก็ทำตามแต่ใจตัวไง ไอ้นี่กรณีนี้นะ ถ้าเราเห็นว่า มนุษย์มาบวชเป็นพระ พอห่มผ้าเหลืองขึ้นมานี่ แหม! มันน่ากราบไหว้บูชาไปหมดเลย...ไม่ใช่
มนุษย์มาบวชเป็นพระแล้วจะมาหาช่องทางทำมาหากินเยอะแยะไปหมด แล้วมนุษย์มาบวชเป็นพระก็มาหาผลประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าหาผลประโยชน์ทั้งนั้น
แต่มีครูบาอาจารย์ของเราบางองค์เป็นลูกเศรษฐี เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ลาออกๆ บวช เขาบวชแล้วเขาเข้าป่าเข้าเขาไป เขาพยายามของเขา เพราะทางโลกมันก็พอสมควรอยู่แล้ว เขามีของเขาพร้อมอยู่แล้ว พร้อมอยู่แล้วมันก็ไม่มีความสุขจริงขึ้นมา แต่มันจะหาความจริงขึ้นมา เขาก็ไปประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าประพฤติปฏิบัติของเขานี่เป็นความจริงของเขา อันนั้นสำคัญกว่า
แต่นี่เวลาไปหาครูบาอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เรายืนยัน เพราะหลวงปู่มั่นเป็นผู้สั่งหลวงตาไว้เอง
“อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ จะไม่เสียหาย”
“อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ” ถ้าใครยังภาวนาไม่เป็น อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ ก็พยายามกำหนดลมหายใจของเรา ไม่ทิ้งผู้รู้คือไม่ทิ้งหัวใจของเรา
แต่ส่วนใหญ่แล้วเราทิ้งหัวใจของเราไง เราทิ้งหัวใจของเราจะไปเอามรรคเอาผล จะไปเอาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี แต่มันไม่เข้าใจหรอกว่าโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันจะเกิดบนหัวใจนี้ มันไม่เกิดบนที่อื่น
แต่เวลาเราอยากได้โสดาบัน ได้สกิทาคามี ได้อนาคามี เราจะไปตะครุบโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ โดยทิ้งหัวใจของเราไป มันก็เลยได้สมบัติโรงพยาบาลศรีธัญญาไง โรงพยาบาลศรีธัญญาเต็มเลย พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย
เพราะเวลาใครไปหาเขา เขาบอกว่ามึงบ้า ไอ้นั่นมันก็ชี้ว่ามึงบ้า เขาจะชี้คนอื่นบ้าแต่เขาไม่บ้า เพราะเขาเป็นพระอรหันต์ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
นี่ไง เพราะมันทิ้งผู้รู้ ทิ้งพุทโธ จะไปเอาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีนอกหัวใจไง ถ้ามันเอาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีนอกหัวใจ มันก็เป็นการสั่งสอนอย่างนี้ไง “ลดสมาธิก็ได้ ลดพุทโธก็ได้ ลดอะไรก็ได้” จะไปเอาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
ไอ้พวกนี้นะไอ้พวกขายก่อนซื้อ ภาวนาไม่เป็นอย่าเพิ่งมาอวด
ในปัจจุบันนี้อาหารไทยมีชื่อเสียงมาก เวลาคนเขาไปเมืองนอกกันน่ะ เขาไปกินอาหารไทยเมืองนอกนะ แล้วเขากลับมาเมืองไทยเขามานินทากัน อาหารไทยเมืองนอกนะเวลาจะใส่กะทิ เขาก็ใส่นมแทน เวลาจะใส่อะไรเขาก็หาวัสดุที่ท้องที่ท้องถิ่นนั้นไง แล้วอาหารไทยก็เลยกลายเป็นอาหารไทยเพื่อหลอกชาวยุโรปว่านี่เป็นอาหารไทย แล้วพอมาเมืองไทยจะมากินอาหารไทย โอ้โฮ! เผ็ด กินไม่ได้เลยๆ
นี่อาหารไทย เพราะอาหารไทยมันก็คืออาหารไทยใช่ไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม
แต่ถ้าเป็นอาหารไทยเมืองนอก อาหารไทยที่บริการลูกค้า เขาต้องการลูกค้า ถ้าลูกค้าพอใจอย่างไร อาหารไทยลดคุณค่าได้ อาหารไทยลดคุณภาพไปที่เอาใจลูกค้าได้
นี่ก็เหมือนกัน ลดสมาธิก็ได้ ลดปัญญาก็ได้ จะลดอะไรก็ได้เพื่อธุรกิจ เพื่อคนปฏิบัติ แล้วมันจริงไหม มันจริงหรือไม่จริง นี่ไง นี่ถึงบอกว่า เวลาพระที่ปฏิบัติมันไม่จริง
ถ้ามันจริงขึ้นมานะ อาหารไทยก็ควรทรงคุณภาพของอาหารไทย ผู้ที่จะมาบริโภคเขาจะบริโภคอาหารไทยได้หรือไม่ได้ เขาไปบริโภคอาหารชนิดอื่นก็ได้ ไม่ใช่ว่าอาหารไทยต้องลดคุณภาพลงไปเพื่อผู้บริโภค
นี่ก็เหมือนกัน คนที่ประพฤติปฏิบัติลดไอ้นั่นก็ได้ ลดไอ้นี่ก็ได้ ลดคุณภาพอาหารไทย ลดคุณภาพของมรรคผลให้ไปสมใจเขาใช่ไหม
นี่พูดถึงไง แนวทางนี้ถูกต้องหรือไม่
ก็เรื่องของเขา ถ้าเขาเองเขาไม่เคยทำอาหารไทยเลย เห็นไหม อาหารไทยในยุโรปเดี๋ยวนี้นะเป็นของชาวเวียดนามเยอะมาก ชาวเวียดนาม ชาวฟิลิปปินส์เปิดร้านอาหารไทยเต็มเลย คนไทยไม่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยเลย
นี่ก็เหมือนกัน นี่ไง สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะธรรมะอย่างนั้น...เรื่องของเขา
มันไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่มี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราแบมือตลอด ไม่มีกำมือในเรา” แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ก็เป็นความจริง
โดยหลัก หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เริ่มต้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามากที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธวิสัย
อำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครคำนวณได้ ไม่มีใครคิดถึงได้ อำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณทะลุปรุโปร่ง เป็นพุทธวิสัย ไม่มีใครเทียบได้เลย
แล้วพอมาถึงหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นขึ้นมา ท่านทำของท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา แล้วท่านสั่งสอนขึ้นมา “อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ” สั่งสอนกันมา
แล้วมาเดี๋ยวนี้นะ ทุกคนก็บอกว่าพุทโธนี้ไม่ใช้ปัญญา พยายามทิ่ม พยายามเจาะ พยายามไช ไอ้พวกนักปฏิบัติใหม่ก็ต้องการลูกค้า ต้องการผู้ที่เข้าใจ ลดคุณภาพ ลดทุกอย่างไปหาลูกค้าหมดเลย อันนู้นก็ลดได้ สมาธิก็ไม่ต้องทำ
เราฟังนะ มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเชื่อกันแบบนั้นก็เรื่องของเขา คุณภาพสังคม คุณภาพของมนุษย์ สังคมมนุษย์ต่ำต้อยลงเรื่อยๆ ทั้งสภาวะแวดล้อม ทั้งศีลธรรมคุณธรรมในใจ แล้วเอ็งปรารถนา เอ็งพยายามจะคาดหวังสิ่งที่เอ็งพอใจ ใครคาดหวังมากเท่าไรคนนั้นก็ทุกข์มากเท่านั้น สังคมด้อยค่าลงเรื่อยๆ คนเกิดมาในหัวใจต่ำต้อยลงเรื่อยๆ
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีการลดราวาศอกให้ใคร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นสัจจะเป็นความจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อชำระล้างกิเลส ฆ่ากิเลสในใจของสัตว์โลกเท่านั้น
ผู้ที่เข้ามาอาศัยในพระพุทธศาสนาแล้วมาลดค่าเพื่อต้องการลูกค้า ต้องการคนศรัทธา ต้องการความเชื่อ “สมาธิมาหลังก็ได้ มาก่อนก็ได้ ไม่ต้องทำก็ได้ ปัญญาจะทำเมื่อไรก็ได้”
เราได้ยินมาอันหนึ่ง เศร้าที่สุด “พวกเรายังไม่ต้องปฏิบัติก็ได้ รอให้เวลาใกล้ตายแล้วค่อยปฏิบัติ เวลาใกล้ตายนี่วิปัสสนาเลย ตายพร้อมกับมรรคผลนิพพานไปเลย”
มันก็ย้อนกลับไปไอ้ศพสีชมพูนั่นน่ะ ไปสวดตอนใกล้ตาย คนไหนป่วยแล้วเอาไปสวดเดี๋ยวนั้นมันจะได้โสดาบันเดี๋ยวนั้น แล้วเขาทำเป็นจริงเป็นจังนะ เราเห็น
มีคนมาเล่าให้ฟังนะ พอที่ไหนนะ ถ้าบ้านใครรวยนะ มันจะเอารถตู้ไปเลย เอาพระไปด้วย ไปสวดให้ แล้วพอตายนะ เอาแป้งโรยเลย เป็นสีชมพู จ่ายมาเท่าไร
เขาทำกันอย่างนี้นะ หากินกันอย่างนี้ รู้ พระกับพระนี่มันรู้กันว่าใครหากินกันอย่างไร ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลก แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ย้อนกลับมานี่
ปฏิบัติให้ลดสมาธิ ลดต่างๆ มันยิ่งเศร้าใจเข้าไปใหญ่
เพราะอันนี้เป็นการต่อสู้นะ เหมือนนักมวย นักกีฬา นักกีฬาบอก มึงไม่ต้องซ้อมก็ได้ ลงแข่งเสร็จแล้วค่อยไปซ้อมก็ได้ การแข่งขันกีฬามีอย่างนั้นไหม มันเป็นไปได้หรือเปล่า
กีฬา นักกีฬาที่เขาประสบความสำเร็จ แล้วคนที่เสียหายเขาจะมีจุดอ่อน จุดอ่อนของเขาคือขี้เกียจซ้อม นักกีฬาที่รักษาตำแหน่งคือรักษาคุณภาพความเป็นจริงของตนไม่ได้ เพราะไม่ซ้อม เพราะไม่มีวินัย นักกีฬาคนใดถ้ามีวินัยขยันซ้อม เขาจะทรงคุณภาพของเขา เขาจะรักษาตำแหน่งของเขา เขาจะมีคุณภาพนั้นได้มาก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ ไอ้คนถามนี่ หมั่นไส้คนถามด้วย ภาวนากับสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมา ๔–๕ ปี แล้วนี่มีเพื่อนพาไป บอกให้ลดสมาธิมันก็เชื่อ ลดปัญญามันก็เชื่อ
โอ้! กูเสียดายแทนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเนาะ สั่งสอนมาเกือบเป็นเกือบตาย ไอ้พวกนี้ไปเจอคนลดสมาธินี่เชื่อเขาเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสอนมาเกือบตาย นี่มันกรรมของสัตว์ไง กรรมของสัตว์
เราเห็นเรื่องอย่างนี้นะ ภาษาเรานะ เราไม่เอาตัวเราลงไปคลุกหรอก จริงๆ แล้วขนาดในหมู่คณะของเรา เรายังไม่ยุ่งด้วยเลย นิสัยเรานะ ไม่ไปคลุกขี้ ไม่ลงไปหาขี้ เราพยายามจะรักษาของเราให้ชีวิตของเราสิ้นสุดไปตามอุดมคติของเรา
ชีวิตนี้เกิดขึ้นที่กู ท่ามกลางก็คือกู แล้วจะจบลงด้วยกู เวลากูตายกูจะเผาตัวกูเอง กูไม่ให้ใครยุ่ง
จริงๆ แล้วเราไม่อยากยุ่งกับใคร แต่นี้พูดเพื่อสังคมไทย พูดเพื่อสังคมนักปฏิบัติ เราเป็นผู้ที่ปฏิบัติเหมือนกัน เราปฏิบัติมาก่อน เราพูดเพื่อคนอื่น เราพูดเพื่อสังคมไทยนี้ ไม่ใช่เพื่อเรา
เพราะของกูเริ่มต้นจากกู ท่ามกลางที่กู แล้วจะจบลงที่กู เอวัง